การดูแลผิวเบื้องต้นเพื่อผิวพรรณที่อ่อนเยาว์

        แม้ว่าการดูแลผิวในสมัยก่อนจะทำเพียงแค่ล้างหน้าด้วยสบู่ ทาโลชั่น และทาแป้ง ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่สมัยนี้กลับมีขั้นตอนที่มากขึ้น เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป รวมทั้งมลภาวะ สภาพอากาศ สิ่งแวดล้อมที่ไม่สะอาดเหมือนก่อน ทำให้ต้องใส่ใจดูแลผิวมากกว่าเดิม

Step 1 : Facial Wash
        การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่านั้นเป็นการชะล้างความสกปรกแค่พื้นผิว แต่ไม่ได้เป็นการทำความสะอาดที่ล้ำลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ชอบแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ การล้างหน้าเพื่อทำความสะอาดผิวที่ดีต้องใช้ผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปด้วย
        Cleansing bar     หรือสบู่ล้างหน้า โดยทั่วไปสบู่จะทำให้ผิวหน้าแห้ง แต่ปัจจุบันมีสบู่ที่ไม่ทำให้หน้าแห้ง แต่กลับทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นด้วยส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ และยังมีสบู่ชนิดที่มีส่วนผสมพิเศษสำหรับคนผิวมันโดยเฉพาะ ช่วยยับยั้งการเกิดสิวได้อีกด้วย
        Cleansing jel       เจลล้างหน้าใช้ทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีเช่นกัน หลังล้างหน้าจะพบว่าผิวยังลื่นและชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้ง
        Cream cleanser  ครีมล้างหน้าถือเป็นปรากฎการณ์ของการทำความสะอาดผิวได้ล้ำลึกขึ้น ด้วยการทาเนื้อครีมที่บางเบาทั่วผิวหน้า เนื้อครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจะช่วยให้ฝุ่นละอองและเครื่องสำอางหลุดออกง่ายขึ้น จากนั้นเช็ดออกด้วยสำลี จะทำให้ผิวนุ่มสะอาด ไม่เหลือคราบความสกปรก
        Oil cleanser       การทำความสะอาดผิวหน้าด้วย oil cleanser สามารถทำความสะอาดได้ล้ำลึกเช่นกัน เหมาะสำหรับคนที่ชอบใช้รองพื้นในการแต่งหน้า วิธีใช้คือลูบไล้น้ำมันทั่วผิวหน้า แล้วใช้นิ้วนวดและคลึงเบาๆ เพื่อที่น้ำมันจะทำให้อณูของเครื่องสำอางและความสกปรกที่อยู่บนผิวเกิดการแตกตัว จากนั้นใช้มือแตะน้ำเพียงเล็กน้อยลูบที่ผิวหน้าอีกครั้ง คราวนี้น้ำมันจะเปลี่ยนเป็นสีขาวๆ คล้ายน้ำนม หลังจากนั้นจึงล้างออก

Step 2 : Eyes Make-up Remover
        การเช็ดเครื่องสำอางรอบๆ ดวงตาไม่สามาถทำได้โดยใช้คลีนเซอร์ทั่วไป แต่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น แม้ในยามที่ใช้มาสคาราแบบกันน้ำก็สามารถเช็ดออกได้อย่างง่ายดายและไม่ทำความระคายเคือง

Step 3 : Toner
        การใช้โทนเนอร์จะช่วยกระชับรูขุมขนและถือเป็นการเช็ดสิ่งสกปรกที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้ผิวหน้าหมดจดยิ่งขึ้น โทนเนอร์มี 2 แบบ คือ โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน การใช้โทนเนอร์ชนิดนี้ จะช่วยควบคุมความมันไปด้วยในตัว และโทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เหมาะสำหรับผิวทุกชนิด สาวผิวแพ้ง่ายควรใช้โทนเนอร์ชนิดนี้

Step 4 : Moisturizer
        มอยส์เจอไรเซอรืคือการนำความชุ่มชื้นมาสู่ผิว และป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น การใช้มอยส์เจอไรเซอรืเป็นประจำจะช่วยให้ผิวนุ่มนวลขึ้น และลดการเกิดไฟน์ไลน์อันมีสาเหตุมาจากผิวขาดความชุ่มชื้น ส่วนผสมที่สำคัญในมอยส์เจอไรเซอร์ยังเป็นอาหารผิวที่ดีเยี่ยม ช่วยบำรุงให้ผิวมีสุขภาพดี ไม่หมองคล้ำ ไม่แห้งแตก แต่กลับช่วยให้มีความยืดหยุ่นและรักษาความสมดุลของผิวเอาไว้ มอยส์เจอไรเซอร์มีให้เลือกสำหรับผิวทุกชนิด จะสังเกตได้ว่าสำหรับผิวแห้ง มอยส์เจอไรเซอร์จะเป็นแบบครีม มีลักษณะข้นเป็นพิเศษ ส่วนผิวมันถึงผิวผสม เนื้อมอยส์เจอไรเซอร์จะเป็นลักษณะเจลที่มีความบางเบาและชุ่มชื้น แต่ไม่มัน

Step 5 : Sunscreen
        ครีมกันแดดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะแสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำอันตรายต่อผิวและเป็นที่มาของริ้วรอย กระ ฝ้า รอยด่างดำ ต่อให้ดูแลผิวทุกขั้นตอนมาอย่างดี ถ้าไม่ทาครีมกันแดดก็หมดความหมาย จำไว้ว่าผิวคุณไม่สามารถที่จะดูแลและฟื้นฟูตัวเองได้ หากไม่มีเกราะป้งกันจากแสงแดด หลังจากที่ทามอยส์เจอไรเซอร์และครีมบำรุงอื่นๆ แล้ว ครีมกันแดดถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย และควรใช้อย่างน้อย SPF15
       

ลบรอยแผลเป็น


รอยแผลเป็นเกิดจากการที่ผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อขึ้นเพื่อปกป้องบริเวณแผลที่เกิดจากสิว, ไฟไหม้, แมลงกัด หรือโดนของมีคมบาด  แผลเป็นมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับบาดแผลที่ได้รับ และ ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม บางคนอาจมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นมากกว่าคนอื่น

ประเภทของรอยแผลเป็น

      1. แผลเป็นนูน แบ่งเป็น 2ชนิด คือ
                1.1  แผลคีลอยด์ (keloid) มีลักษณะเป็นแผลนูนออกนอกแผลเดิมมาก พบในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง ได้แ่ก่ บริเวณติ่งหู (จากการเจาะหู), บริเวณหน้าอก,บริเวณหัวไหล่ (เกิดจากการปลูกฝี) หรือเกิดขึ้นกับบริเวณอื่นในกรณีที่แผลหายช้ากว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป หรือในบริเวณที่ผิวหนังมีแรงตึงมาก เช่นแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้องหรือหลัง แผลเป็นชนิดนี้ไม่สามารถหายเองได้
                1.2  แผลเป็นนูน (hypertrophic scar) เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อทำให้บาดแผลหาย แต่มักจะนูนอยู่ในขอบเขตของแผล ไม่นูนยื่นแบบคีลอยด์ แผลชนิดนี้บางประเภทสามารถหายได้เอง บางประเภทต้องรักษาโดยแพทย์
     
      2. แผลเป็นหลุม (atrophic scar) มักเกิดหลังจากการอักเสบของผิว เช่น สิว หรือ อีสุกอีใส ชั้นเนื่อเยื่อของผิวถูกทำลายลึก จนไม่สามารถสร้างชั้นผิวได้เหมือนผิวด้านข้าง ทำให้เห็นเป็นหลุม

      3. แผลเป็นแตกลาย (stretch marks) เป็นที่มีลักษณะยืดกว้างออกจากรอยเดิม เช่นรอยแตกลายหลังคลอด หรือหลังลดความอ้วน อีกส่วนหนึ่งเกิดจากเทคนิคการเย็บแผล เย็บขอบแผลไม่สนิท ไม่เรียบร้อย ไม่แข็งแรง เมื่อขยับตัวผิวบริเวณแผลจะแยกและยืดออก แผลลักษณะนี้พบได้บ่อย

เนื่องจากแผลเป็นมีหลายประเภท วิธีการรักษาหรือลดรอยแผลเป็นจึงมีหลายวิธี

วิธีการรักษาแผลเป็นด้วยตัวเอง

-หยดวิตามินอี ชนิดแคปซูล และุถูรอบบริเวณแผลเป็น วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 2 สัปดาห์ จะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง

-สำหรับรอยแผลแตกลาย และแผลเป็นหลุม นิยมใช้ cocoa butter  ทำจากน้ำมันในเมล็ดโกโก้ มีราคาแพงแต่ให้กลิ่นหอม  cocoa butter ได้รับการทดสอบแล้วว่าสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ลึก
cocoa

ดับกลิ่นด้วยเมล็ดกาแฟ


ลมหายใจหอมสดชื่น  จะทำอย่างไรดีเมื่อลูกอมดับกลิ่นปากเกิดหมด แค่อมเมล็ดกาแฟไว้ครู่หนึ่งแล้วปากของคุณก็จะมีกลิ่นสะอาดสดชื่นอีกครั้ง

ดับกลิ่นติดมือ    ถ้ามือของคุณมีกลิ่นเหม็นกระเทียม ปลา หรืออาหารกลิ่นแรงอื่นๆ เพียงแค่เทเมล็ดกาแฟใส่มือและถูไปมา น้ำมันที่ออกมาจากเมล็ดกาแฟจะดูดกลิ่นเหม็นออก เมื่อกลิ่นหมดไป ให้ล้างมือในน้ำสบู่

ลดเซลลูไลท์   คาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตเฉพาะจุด ซึ่งทำให้เกิดการปล่อยไขมันออกจากเซลล์เข้าสู่กระแสเลือด และจะถูกกำจัดออกไปจากร่างกาย

การใช้กาแฟเพื่อลดเซลลูไลท์ด้วยตัวเองที่บ้าน
ใช้กาแฟคั่วบดอุ่นๆ (กากกาแฟที่ชงแล้วก็ได้) ถูลงบริเวณที่เห็นริ้วรอยของเซลลูไลท์ กากส่วนใหญ่จะร่วงลงบนพื้นแต่จะมีที่ตกค้างอยุ่บนผิวพอสมควร ใช้พลาสติกห่ออาหารพันบริเวณนั้นเอาไว้ หรืออาจใช้สาหร่ายทะเลจะยิ่งดีกว่า ถ้าหาได้ ทิ้งไไว้สัก 5 นาที จากนั้นแกะพลาสติกออกแล้วอาบน้ำ ทำทรีตเมนต์สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อได้ผลดีที่สุด


มาสก์หน้าให้ถูกวิธี



ขั้นตอนการมาสก์หน้าให้ได้ผลดีที่สุด

สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การล้างหน้าให้สะอาดด้วยสบู่ หรือ โฟมล้างหน้าที่คุณมี แล้วขัดหน้าเบาๆด้วยสครับ เพื่อให้ส่วนผสมของมาสก์ซึมซับเข้าสู่ผิวคุณได้ดียิ่งขี้น

อย่าลืมเก็บผมให้เรียบร้อยด้วยที่คาดผม หรือ หมวกคลุมผมนะคะ

ใช้ไม้พายหรือนิ้วมือที่สะอาดทามาสก์ที่หน้าเบาๆ ขี้นลงและหมุนเป็นวงกลม เริ่มจากคางและขึ้นไปที่แก้วและหน้าผาก เรื่อยไปจนถึงจมูกไล่จากสันจมูกออกไปหาแก้ม เว้นรอบปาก, รอบดวงตาและบริเวณคิ้ว สุดท้ายทาที่ลำคอโดยทาจากล่างขึ้นบน ถ้ามีเหลือทารอบบนช่วงอกได้เลยค่ะ

มาสก์หน้าไว้ประมาณ 5-60 นาที แล้วแต่ส่วนผสมของมาสก์ที่คุณใช้ รอจนกระทั่งมาสก์แห้ง

เมื่อมาสก์แห้งแล้ว ให้ล้างหน้าเบาๆ และเช็ดออกด้วยผ้าที่แห้งและสะอาด  หลังจากนั้นใช้โทนเนอร์ และมอยส์เจอร์ไรเซอร์ จบขั้นตอนนี้คุณก็จะได้ผิวหน้าที่สะอาดสดชื่นแล้วค่ะ

ข้อควรระวัง

ถ้าไม่แน่ใจว่าแพ้มาสก์ที่จะใช้หรือไม่ ลองใช้มาสก์สักเล็กน้อยทาที่ผิวของคุณ อย่างเช่น หลังใบหู รอประมาณ 20 นาที ดูว่าผลเป็นอย่างไร

ถ้าการมาสก์หน้าต้องใช้น้ำเป็นส่วนผสม ใช้น้ำที่สะอาด  น้ำที่ใช้หากยิ่งกระด้างแรู่ธาตุยิ่งมาก  และมีโอกาสทำให้ผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย จะใช้น้ำต้มก็ได้ค่ะ

ไม่ควรมาสก์หน้าเกินอาทิตย์ละสองครั้ง และลองสลัีบชนิดของมาสก์หน้าเพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงที่หลากหลาย

ดื่มชาเขียวมีประโยชน์

 หลายคนคงเคยได้ยินว่า ชาเขียว มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง

 ลองมาดูกันค่ะ ถ้าได้ลองอ่านแล้ว เชื่อแน่ว่าเวลาดื่ม ชาเขียว แล้ว จะรู้สึกว่ารสชาติดีขึ้น อร่อยขึ้น ชื่นใจขึ้น แน่นอน



 



ชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidants) ซึ่งช่วยให้

1. ป้องกันมะเร็ง
        มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าชาเขียวที่เราบริโภคทุกวัน สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่ และตับอ่อนได้มากถึง 60%   สารต้านอนุมูลอิสระที่รู้จักกันในนาม epigallocatechin gallate (EGCG) มีประสิทธภาพในการปกป้องเซลล์จากการติดเชื้อมากกว่าวิตามินซีอย่างน้อย 100 เท่า และมากกว่าวิตามินอี 25 เท่า

2. ลด คลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL)
        และเพิ่มระดับคลอเรสเตอรอลที่ดี (HDL)  ทำให้นักดื่มชาสามารถกินอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลได้มากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่ดื่มชาแต่ระดับคลอเรสเตอรอลยังคงเท่ากัน  ชาเขียวช่วยลดปริมาณการเสี่ยงของไขมันอุดตันหลอดเลือด ซึ่งเป็นผลดีต่อหัวใจและสมอง ลดความดันเลือดสูง

3. ช่วยตับล้างสารพิษ   เช่น แอลกอฮอล์ และสารเคมีในควันบุหรี่

4. ลดกลิ่นปาก
        ชาเขียวช่วยทำลายแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ลมหายใจมีกลิ่น หลังจากกินอาหารที่มีรสหวาน ขอแนะนำให้ดื่มชาเขียวสักถ้วยนะคะ

5. ทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของริ้วรอย

6. ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

7. มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
        ชาเขียวช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค และช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วจากไข้หวัด  นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ       


สำหรับชาดำ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่นิยมดื่มกันมากและมาจากแหล่งเพาะปลูกที่เดียวกับชาเขียว แต่ชาดำจะไม่ให้ประโยชน์มากเท่ากับชาเขียว เนื่องจากกระบวนการผลิตชาดำทำให้สูญเสียสารที่เป็นประโยชน์ออกไปมาก

วิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันหรือยับยั้งโรคต่างๆข้างต้น คือการดื่มชาที่ชงใหม่ๆ  เครื่องดื่มพร้อมดื่มทุกชนิดรวมถึงชาสำเร็จรูปจะให้ประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพน้อยมาก  การชงชาดื่มควรแช่ใบชาไว้ประมาณ 4-5 นาทีก่อนดื่ม

หวังว่าหลังจากอ่านหัวข้อนี้แล้ว คุณจะดื่มชาเขียวเป็นประจำทุกวัน และรู้สึกดีเมื่อได้ดื่มนะคะ

จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณมีผิวแบบไหน


สภาพผิวของคุณเป็นผิวชนิดไหน

ความลับในการมีผิวที่สวยคือการรู้ว่าเรามีสภาพผิวเป็นอย่างไร วิธีการต่อไปนี้จะบอกให้คุณได้รู้จักสภาพผิวของคุณเพื่อจะไ้ด้รักษาผิวของคุณให้ดูดีที่สุด และนอกจากนี้่ยังทำให้คุณเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้เหมาะกับผิวของคุณ ลองดูนะคะว่าผิวของคุณเป็นแบบไหน

1.  ผิวมัน
        ผู้ที่มีผิวมัน จะมีกลิ่นตัว และมีรูขุมขนผิวกว้าง โดยเฉพาะที่คางและจมูก ลองสังเกตดูนะคะ นอกจากนี้ยังมีสิวอุดตัน และสิวเสี้ยน หลังล้างหน้าประมาณ 1-2 ชั่วโมง ใบหน้าก็จะเริ่มเป็นมันเงา  สำหรับผิวชนิดนี้ควรหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ  ใช้น้ำเย็นล้างหน้าเป็นน้ำสุดท้ายหลังทำความสะอาดหน้าเพื่อปิดรูขุมขน และควรใช้เครื่องสำอางค์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสมน้อยหรือไม่มีเลย

2.  ผิวแห้ง        ผิวแห้งจะเป็นผิวที่เกิดริ้วรอยง่าย และมีรูขุมขนเล็ก ทำให้ไม่ค่อยเป็นสิวเสี้ยน  จะรู้สึกผิวตึงและบางคนอาจจะมีริ้วรอยรอบๆปากและตา  ผิวจะแดงและดูแห้งเป็นขุยเมื่อถูกอากาศเย็น  หน้าจะเริ่มเป็นมันเงาที่จมูกและหน้าผากหลังจากทำความสะอาดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หลังทำความสะอาดใบหน้าควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุง และใช้เครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

3.  ผิวผสม        สำหรับผู้ที่มีผิวผสม จะมีสิวเสี้ยน และรูขุมขนกว้างรอบๆจมูก คาง และหน้าผาก (โซนผิวมัน)  แต่จะรู้สึกผิวแห้งรอบๆดวงตา คางและปาก  หน้าจะเริ่มเป็นมันเงาหลังทำความสะอาดหน้าประมาณ 3 ชั่วโมง  ถ้าผิวส่วนใหญ่มัน ให้ทำความสะอาดเหมือนผิวมัน แต่ถ้าส่วนใหญ่เป็นผิวแห้งให้ทำความสะอาดเหมือนกับผิวแห้ง และควรใช้เครื่องสำอางค์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันสำหรับผิวผสม

4.  ผิวธรรมดา        ถ้าคุณมีผิวที่เนียนนุ่มมีความยืดหยุ่นดี อาจจะมีรูขุมขนกว้างบ้างเล็กน้อยหรือมีริ้วรอยบ้างนิดหน่อย คุณมีผิวธรรมดาคุ่ะ สำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาจะใช้เครื่องสำอางค์แบบใดก็ได้ แต่ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อป้องกันผิวหยาบกร้าน

การดูแลผิวเบื้องต้น